วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อะโวคาโด ดีต่อสุขภาพอย่างไร


อโวคาโดอาจจะไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยมากนักแต่สรรพคุณและประโยชน์ของอโวคาโดก็มีมาก แม้สีสันและหน้าตารวมถึงกลิ่นจะไม่น่าประทับใจใครหลาย ๆ คนนักแต่ประโยชน์ของอโวคาโดก็ไม่แพ้ผักผลไม้ของไทยเลยทีเดียว ลองมาดูประโยชน์ของอะโวคาโดว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

          1. เนื้อผลประกอบด้วยไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ประมาณ 4-20% แล้วแต่ พันธุ์ โดยกรดไขมันในอะโวคาโด ร้อยละ 70 เป็นกรดไขมันไม่อิ่ม ตัว ชนิด monounsaturater fatty acid ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่าง กายโดยช่วยลดปริมาณ LDL-cholesterol ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่เป็นผลเสียต่อ ร่างกายและเพิ่มปริมาณ HDL-cholesterol ในเลือดซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่เป็น ผลดีต่อร่างกาย มีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจซึ่งเป็นประโยชน์ในการลด ไขมันในเส้นเลือดคนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงก็บริโภคผลไม้ชนิดนี้ได้ และใช้ลดน้ำหนักได้ดี เพราะปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่มีน้ำตาลต่ำ ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเบา หวานจึงสามารถบริโภคผลไม้ชนิดนี้ได้

           2. น้ำมันอะโวคาโด (Avocado oil) เป็นน้ำมันสกัดจากเนื้อของผลอะโวคาโด เป็นน้ำมันที่ดูดซึมสู่ผิวหนังได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันอัลมอนด์ และน้ำมันมะกอก ประกอบด้วยวิตามินอี กรดไขมัน linoleic และ oleic, phytosterol ใช้นวดศีรษะเร่งการงอกของผม น้ำมันนี้มีกลิ่นคล้ายเมล็ดถั่ว คงตัวดี น้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารก็มีส่วนช่วยให้วิตามิน และสารอาหารที่ละลายในไขมันสามารถถูกดูดซึมนำไปใช้ได้ สลัดผักจำพวกผักใบเขียว อย่างผักโขม เลตตูซ มะเขือเทศ และแครอท ที่ใช้น้ำมันสลัดที่ปราศจากไขมัน จะทำให้คาโรทีนอยด์ที่ละลายในไขมันซึ่งอยู่ในพืชผักเหล่านี้ไม่สามารถูกดูด ซึมนำไปใช้ได้ ไขมันที่อยู่ในอะโวคาโดช่วยในการดูดซึมคาโรทีนอยด์ที่ช่วยต่อต้านโรคภัยไข้ เจ็บต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไลโคพีนในมะเขือเทศ เบต้า-แคโรทีนในผักสีส้ม และลูทีนในผักใบเขียว

           3. วิตามินสูง ประกอบด้วย วิตามิน เอ(เบต้าแคโรทีน) ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบีช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด เลือดออกตามไรฟัน และโดยเฉพาะวิตามินอี ซึ่งเป็นสาร antioxidant ที่มีคุณค่าในการปกป้องเซลล์ ร่างกายจากมลพิษทางอากาศ น้ำ และอาหาร ป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และโรคหัวใจ ในผู้ใหญ่ควร บริโภควิตามินอีอย่างน้อย 10 mg ต่อวัน ผู้หญิงในอเมริกาใต้และเม็กซิโกใช้ผลอะโวคาโดสดสำหรับบำรุงเส้นผมและผิวพรรณ มานับพันปีแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้ง ให้นำอะโวคาโดมาบดผสมกับกล้วยหอมสุข และน้ำผึ้ง ในอัตรส่วน 1:1:1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออก คุณก็จะมีผิวพรรณที่ชุ่มชื่นมีชีวิตชีวา และยังใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญเพื่อการสกัดน้ำมันในอุตสาหกรรมทำเครื่องสำอาง ประทินผิวต่างๆ

          4. อุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นโซเดียม โพแทสเซียม โฟเลต ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอล โดยเฉพาะโฟเลตนั้น เป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากโฟเลตเป็สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและสร้างเนื้อเยื่อ ของทารก คนไทยสมัยก่อนใช้กล้วยเป็นอาหารเลี้ยงทารก อะโวคาโดก็เช่นกันสามารถใช้เป็นอาหารเลี้ยงทารกได้โดยอาจใช้เนื้ออะโวคาโด สุกป้อนเด็กทารกโดยตรงหรือผสมกับกล้วยน้ำว้าสุกอัตราส่วน 1:1 5. โปรตีนสูงกว่าผลไม้สดอื่น ๆ ประมาณ 0.8 – 1.7 % โดยให้ค่า พลังงานความร้อนต่อร่างกายสูงแต่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ เป็นโปรตีนที่ย่อย ง่าย มีเยื่อใยสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดูแลสุขภาพช่วงหน้าฝน


ช่วงนี้ เป็นช่วงที่อากาศมีการเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวก็ร้อนมาก เดี๋ยวก็ฝนตกเพราะฉะนั้นควรหันมาดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อให้ ร่างกายสามารถปรับสภาพต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศได้ โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ และเพื่อป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคไข้หวัดเพราะหากป่วยเป็นไข้หวัดและไม่มีการดูแลสุขภาพที่ดี อาจส่งผลให้กลายเป็นโรคหลอดลมอักเสบและโรคปอดบวมได้ในที่สุด และสำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ควรต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษมากกว่าคน อื่น และควรที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกาย นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง แล้วยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรค อีกด้วย การออกกำลังกายสามารถทำได้หลายวิธี เช่นการเต้นแอโรบิค การเดินเร็วๆ การวิ่งเหยาะ การขี่จักรยาน หรือการเล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง และการออกกำลังกายที่เหมาะสม คือ การออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 5 วัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที แค่นี้ก็เพียงพอ ที่จะเกิดภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

การเริ่มต้นออกกำลังกาย ควรเริ่มจากเบาๆ ระยะเวลาน้อยๆ ก่อนแล้วค่อยเพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์เพื่อให้ร่างกาย ปรับตัว จากนั้นจึงเพิ่มความแรงหรือความหนัก และย้ำว่าไม่จำเป็นต้องหนักหรือเหนื่อยมาก การออกกำลังกายมากเกินไปโดยเฉพาะในอากาศที่ร้อนจัด จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า โรคฮีทสโตรก (Heat Stroke) ได้ง่าย และเป็นโรคที่อันตรายมาก ผู้ป่วยจะมีอุณหภูมิร่างกายสูงมาก เหงื่อไม่ออก หมดสติ ไต หัวใจ ตับวาย อาจมีเลือดออกทุกอวัยวะ ถึงแก่ชีวิตได้ นอกจากนี้ ระหว่างออกกำลังกาย ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะน้ำที่มีเกลือแร่ด้วย สิ่งสำคัญ ที่ต้องคำนึงถึงนอกจากการออกกำลังกาย คือ การรับประทานอาหาร ควรเน้นการรับประทานผัก ให้หลากหลายทั้งสดและลวก ต้ม ผัด และรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ องุ่น สัปปะรด มะละกอ เป็นต้น เพราะจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ดังนั้น หากเราดูแลสุขภาพตน เองได้ตามข้อปฏิบัติดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะช่วยให้มีสุขภาพดีในช่วงหน้าฝนเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลต่อการมีสุขภาพดีในระยะยาวด้วย

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นอนให้ถูกท่ากายาปลอดโรค

“โรคปวดหลังและคอเกิดได้ในทุกอาชีพ อาการปวดค่อยเป็นค่อยไป เช่น มีอาการปวดบริเวณคอจะเจ็บแปล๊บไปที่แขน ปวดเอวเจ็บแปล๊บไปที่ขา และหากเป็นต่อเนื่องโดยรับการรักษาทั้งยากิน ยาทา แล้วยังไม่หายใน 3 สัปดาห์ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้วิธีการผ่าตัดในการรักษา ซึ่งมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ทั้งจุดเดิมที่เคยปวด และจุดอื่น หากผู้ป่วยยังไม่ปรับเปลี่ยนกิจวัตรในการเคลื่อนไหว”ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกสันหลัง กล่าว

นอนอย่างไรให้ดีกับสุขภาพ......

การนอน เป็นสาเหตุให้เกิดการปวดหลังและคอได้อย่างหนึ่ง เพราะร่างกายเราต้องนอนวันละ 6-8 ชั่วโมง อุปกรณ์ในการนอนจึงสำคัญมาก ทั้งที่นอน หมอนหนุน ต้องไม่นุ่มหรือแข็งเกินไป ควรเลือกให้พอดี เช่น หมอนควรเลือกที่มีความสูงระดับไหล่ในขณะที่หนุน และใช้ช่วงต้นคอและศีรษะหนุนเพื่อให้หมอนรองกระดูกอยู่ในท่าที่ตรงแนบกับที่นอน
 
การนอนหงายที่ถูกวิธีควรหนุนหมอนที่ไม่สูงหรือต่ำเกินกว่าระดับไหล่ และใช้หมอนข้างรองช่วงข้อพับบริเวณหัวเข่า หรือเบาะรองนั่งรองจนถึงปลายเท้า เพื่อจัดร่างกายให้อยู่ในท่าที่หมอนรองกระดูกตั้งแต่คอถึงบั้นเอวได้นอนแนบ กับที่นอนโดยที่กล้ามเนื้อไม่เกร็งหรืองอตัว

 
ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกสันหลัง บอกอีกว่า ท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ควรหลีกเลี่ยง แต่หากจะต้องนอนคว่ำควรใช้หมอนบางๆ รองช่วงท้อง ไม่ควรรองบนศีรษะ รวมถึงไม่ควรนอนอ่านหนังสือ นอนดูทีวี เพราะหมอนรองกระดูกบริเวณต้นคอจะต้องตั้งขึ้น และทำให้เกิดอาการปวดคอและหลังตามมาในที่สุด

ท่านอนตะแคงที่ถูกต้อง ควรมีหมอนข้างสำหรับรองรับช่วงขาและแขน เพราะหากไม่มีหมอนข้างรอง มีโอกาสสูงมากที่กล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลังช่วงบั้นเอวถึงช่วงสะโพกเกิด การเกร็งตัว และมีอาการปวดตามมา

ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย สุขภาพร่างกายดี ชีวิตก็สดใส

ขอบคุณข้อมูลจากมูลนิธิสุขภาพไทย

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เคล็บลับควรรู้สู่สุขภาพที่ดี

ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะ ตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
ความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับ อาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

แดดอ่อนตอนเช้า
แสง แดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสีย เงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้าน มาก

ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ


อาหารบรรเทาปวดประจำเดือน


เมื่อถึงวันนั้นของเดือนผู้หญิงหลายคนมักมีอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวหลายอย่าง เช่น เจ็บหน้าอก ปวดท้อง หิวบ่อย ซึ่งจะทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดง่ายไปด้วย แต่อาการต่างๆเหล่านี้สามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานอาหาร.....

เจ็บหน้าอก
อาหาร ช่วยได้ อาหารที่มีโอเมก้า 3 เป็นส่วนประกอบ เช่น ปลาทะเลน้ำลึก ปลาซาดีน ปลาทูน่า น้ำมันปลา เพราะโอเมก้า 3 จะไม่เพิ่มฮอร์โมนตัวที่ช่วยบรรเทาความเจ็บในตัวเรา 


ตัวบวม
อาหารช่วยได้ อาการตัวบวมจะทำให้คุณดูอ้วนขึ้นโดยปริยาย ฉะนั้น ต้องงดอาหารที่จะทำให้ตัวบวมมากขึ้น อย่างของเค็มๆ ขนมอบกรอบใส่เกลือ และต้องดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้น้ำล้างโซเดียมในตัวเราออกมา ตัวจะได้บวมน้อยๆ หน่อย
อยากกินของจุบจิบ
อาหาร ช่วยได้ แคลเซียมจะช่วยปรับระดับฮอร์โมนให้คงที่ทำให้ความอยากกินนั่นกินนี่โดยไม่มี เหตุผลสลายตัวไปได้ อาหารที่คุณต้องโด๊ปมากๆ ในช่วงนี้จึงได้แก่ของที่มีแคลเซียมเยอะๆ อย่างนม ปลาตัวเล็ก โยเกิร์ต เต้าหู้ คะน้า


ปวดท้อง
อาหารช่วยได้ ความปวดสุดขีดนี้เกิดจากกล้ามเนื้อในช่องท้องเกร็ง ชั่วโมงนี้สิ่งที่จะช่วยบรรเทาอาการเกร็งให้คุณก็คือ อาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียมมากๆ อย่างผักโขม กระเทียม ถั่ว เมล็ดธัญพืชต่างๆ รีบๆ กินไว้ก่อนมีประจำเดือนยิ่งดี




วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แก้ไอด้วยสมุนไพรใกล้ตัว

ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนแต่ก่อน ทำให้สภาพอากาศในแต่ละวันเปลี่ยนแปลง ผันผวน สำหรับคนที่สุขภาพไม่ค่อยดีก็อาจจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ร่างกายปรับตัวไม่ทัน อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย อย่างเช่น เป็นหวัด มีอาการไออยู่เป็นประจำ วันนี้จึงได้นำเสนอสมุนไพรใกล้ตัวที่ช่วยบรรเทาอาการไอ บางอย่างก็หาได้จากในครัวบ้างเรา บางอย่างอาจจะไม่ค่อยรู้จัก ก็จะได้รู้จักและรู้สรรพคุณกันเอาไว้

กระเทียม
ใช้กระเทียมและขิงสดอย่างละเท่ากัน ตำละเอียดละลายกับน้ำอ้อยสด คั้นน้ำจิบแก้ไอขับเสมหะและทำให้เสมหะแห้งหรือคั้นกระเทียมกับน้ำมะนาว เติมเกลือใช้จิบหรือกวาดคอก็ได้

ขิง
มีวิธีใช้ขิงเป็นยาแก้ไออยู่หลายวิธี อาจใช้ต้มกับน้ำพอเดือด ชงด้วยน้ำเดือด คั้นน้ำขิงโดยใช้กระสายยา คือ น้ำมะนาวก็ได้ ขนาดที่ใช้ตั้งแต่ 5-30 กรัม ทั้งนี้เนื่องจากขิงเป็นอาหารและไม่ปรากฎความเป็นพิษ ขนาดรับประทานจึงขึ้นกับความชอบของผู้ใช้ด้วย

ดีปลี
สำหรับการไอมีเสมหะ ควรใช้ดีปลีประมาณครึ่งผล ตำละเอียดเติมน้ำมะนาว และเกลือเล็กน้อย กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ

มะนาว
ใช้น้ำมะนาว 1 ถ้วยชา ผสมน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือเล็กน้อย ชงน้ำอุ่นดื่มบ่อยๆ หรือน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ จิบแก้ไอ นอกจากนี้น้ำมะนาวยังใช้เป็นน้ำกระสายยาของสมุนไพรที่ใช้แก้ไออื่นๆ เช่น ดีปลี กระเทียม เป็นต้น

มะขาม
ใช้มะขามเปียก 3 กรัม จิ้มเกลือรับประทาน มะขามเปียกอาจมีเชื้อโรคและทำให้ท้องเสียได้ จึงควรนำมะขามเปียกมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย จะได้ยาขับเสมหะที่มีรสกลมกล่อม ข้อควรระวัง มะขามเปียกมีฤทธิ์เป็นยาระบายด้วย จึงไม่ควรรับประทานมากเกินไป

มะขามป้อม
ใช้ผลสด ตำคั้นน้ำดื่มหรือกัดเนื้อเคี้ยวอมบ่อยๆ

สับปะรด
เนื่องจากสับปะรดเป็นผลไม้ที่คนไทยรับประทานอยู่แล้วจึงไม่จำกัดขนาด แต่ถ้ารับประทานมาก กรดที่มีปริมาณสูงจะกัดเยื่อบุช่องปากได้

มะแว้งเครือ
ใช้ผลมะแว้งเครือสด 5-6 ผล ล้างให้สะอาดเคี้ยวอมไว้ กลืนเฉพาะน้ำจนหมดรสขมแล้วคายกากท้องเสีย หรือจะกลืนทั้งน้ำและเนื้อก็ได้ หรือใช้ผลสด 5-10 ผล โขลกพอแตกคั้นเอาแต่น้ำใส่เกลือเล็กน้อย จิบบ่อยๆเวลาไอ

มะแว้งต้น
ใช้ผลมะแว้งต้นสด 5-6 ผล ล้างให้สะอาดเคี้ยวอมไว้ กลืนเฉพาะน้ำจนหมดรสขมแล้วคายกากท้องเสีย หรือจะกลืนทั้งน้ำและเนื้อก็ได้ หรือใช้ผลสด 5-10 ผล โขลกพอแตกคั้นเอาแต่น้ำใส่เกลือเล็กน้อย จิบบ่อยๆเวลาไอ
 

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ข้าวโพด ประโยชน์ต่อสุขภาพ



ข้าวโพดต้ม นอกจากจะมีจุดเด่นที่สีสันเหลืองอร่ามน่ารับประทาน ถ้าว่ากันถึงคุณค่าแล้วดูเหมือนไม่เป็นสองรองใครแน่ ไม่ว่าจะรับประทานในรูปแบบไหน จะโรยเกลือ โรยน้ำตาล หรือทานเปล่าๆ ด้วยรสชาติดั้งเดิมตามธรรมชาติ ก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

"ข้าวโพด" มีคุณค่าทางอาหารมากมาย ประกอบไปด้วยสารอาหาร ดังนี้

- คาร์โบไฮเดรต "ข้าวโพด"มีคาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 72 ข้าวโพดหนัก 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่

- ไขมัน เมล็ดข้าวโพดมีไขมันอยู่ร้อยละ 4 มีฤทธิ์ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล ช่วยลดความดันโลหิตสูง

- โปรตีน โปรตีนในข้าวโพดเป็นโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ เพราะจากกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายคือไลซีนและทริบโตฟาน ควรรับประทานข้าวโพดร่วมกับถั่วเมล็ดต่างๆ

ประโยชน์ต่อสุขภาพของข้าวโพดเป็นอย่างมาก

  1. หัวใจป้องกัน : ข้าวโพดนอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโฟเลต, วิตามินบีที่ช่วยในการลดระดับของ homocysteine, ระดับของ homocysteine สามารถทำลายเส้นเลือดที่นำไปสู่หัวใจวายโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหลอดเลือด 
  2. ต้านมะเร็ง : มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่สามารถเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของโรค มะเร็งปอด
  3. ป้องกัน Anaemia : วิตามินบี 12 และกรดโฟลิคในปัจจุบันข้าวโพดป้องกันโรคโลหิตจางที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็กของ
  4. ทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร : ใยอาหารไม่ละลายในข้าวโพดทำให้ดีสำหรับริดสีดวงทวารเหล่านั้นทุกข์ทรมานจาก โรคทางเดินอาหารร่วมกันเช่นท้องผูกและ เส้นใยดูดซับน้ำซึ่งฟูอุจจาระและความเร็วในการเคลื่อนไหวของมัน
  5. อาหารสมอง : ข้าวโพดเป็นแหล่งที่ดีของ thiamine (วิตามิน B1) ประสาทที่จำเป็นสำหรับหน่วยความจำต้องการวิตามินบี การขาดวิตามินบีได้รับการพบว่ามีปัจจัยร่วมที่สำคัญในการด้อยค่าอายุในการทำ งานที่เกี่ยวข้องกับจิตใจและสมองเสื่อม ถ้วยเดียวของข้าวโพดมีประมาณ 24 เปอร์เซ็นต์ของค่าแนะนำรายวันสำหรับวิตามินบี
  6. เหมาะสำหรับดวงตา : ข้าวโพดยังมีเบต้าแคโรทีนและโฟเลตซึ่งสามารถชะลอการเสื่อมสภาพ นักวิจัยได้พบว่าเบต้าแคโรทีนในข้าวโพดถูกแปลงไปเป็นวิตามินในอัตราที่สูง
  7. ดีสำหรับคนเป็นเบาหวาน : ข้าวโพดจัดอยู่ในประเภทแป้ง พร้อมกับธัญพืช, ถั่ว, มันฝรั่งและถั่ว ฃในผู้ป่วยโรคเบาหวานอาหารปิรามิดข้าวโพด, เมื่อรับประทานในปริมาณปานกลางมีเพียงผสมด้านขวาของแร่ธาตุและวิตามินเพื่อ ช่วยให้แน่ใจว่าอินซูลินของบุคคลนั้นอยู่ในช่วงที่มีสุขภาพดี
  8. โรคเอดส์การตั้งครรภ์ : ผู้หญิงที่ต้องการที่จะตั้งครรภ์ควรใช้ปริมาณที่เพียงพอของโฟเลตเพื่อ ป้องกันไม่ให้เกิดข้อบกพร่องหลอดประสาท เป็นที่อุดมไปด้วยสารโฟเลท, ข้าวโพดจะช่วยให้การสร้างเซลล์ใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญก่อนและ ระหว่างการตั้งครรภ์  
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯรายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษ เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวาน ด้วยอุณหภูมิสูง 115องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสาร  อันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดไม่ลับ..ดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ


การดื่มน้ำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติ และมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันการขับถ่ายของเสียก็ทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื่น มีเลือดฝาด และไม่ปวดหลังหรือบั้นเอว เพราะสุขภาพไตแข็งแรง การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว จะช่วยทำให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลง อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริงน้ำเป็น "อาหารอันวิเศษ " ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวร เคล็ดไม่ลับสำหรับคนรักสุขภาพ มีดังนี้
น้ำที่ควรดื่ม ควรเป็นน้ำธรรมดาไม่เป็นน้ำที่ร้อนมากหรือที่เย็นจัด แต่ถ้าเป็นน้ำอุ่นๆ เล็กน้อย ก็ควรดื่มในตอนเช้าเพราะจะให้การขับถ่ายดีขึ้น ลำไส้สะอาด
ระยะเวลาที่ดื่มน้ำ ใน 1 วัน อาจจะเปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับตัวเอง
ตื่นนอนตอนเช้า ดื่มน้ำ 1 แก้ว
ตอนสาย ดื่มน้ำ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9.00 – 10.00 น)
ตอนบ่าย ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ 13.00 – 16.00 น)
ตอนเย็น ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาร 19.00 – 20.00 น)
ก่อนเข้านอน ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายดีขึ้น รวมแล้วให้สามารถดื่มน้ำเปล่าได้วันละ 10 แก้ว นอกเหนือจากนั้น ท่านสามารถดื่มน้ำนม     น้ำผลไม้, ฯลฯ ได้อีกไม่จำกัด
  • ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละ 2 – 3 แก้วติดต่อกันทันที ดื่มตามปรกติสบายๆ ผู้ที่ทำตามครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย เป็นอาการปรกติธรรมดา ทั้งนี้เพราะผนังลำไส้ และกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้น หากทำติดต่อกันเป็นประจำก็จะไม่มีอาการอีก
  • ระยะแรก จะเกิดการปัสสาวะบ่อย ครั้งแรกๆ จะมีสีเหลืองข้นขุ่นกลิ่นฉุน เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปชะล้างไตให้สะอาด
  • อย่าดื่มน้ำมากก่อนหน้าที่จะรับประทานอาหาร ( ควรงดดื่มน้ำมากสักครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร) และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ ทันที ในระหว่างการรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะการดื่มน้ำมากในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง การย่อยเป็นไปได้ไม่ดี
  • การทานอาหารในแต่ละมื้อไม่ควร อิ่มจนแน่นท้องเกินไปควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดจะทำให้สะอาดคอ แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยท่านจะรู้สึกสบายท้องหลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมง จึงดื่มน้ำตามปรกติ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แกงส้มสูตรสุขภาพ

มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน

ใบมะรุมสดก็เหมือนผักใบเขียวทุกชนิด ไม่ควรรับประทานเป็นจำนวนมากเพราะจัดเป็นยาถ่ายประเภทหนึ่ง เมื่อเริ่มรับประทาน บางท่านอาจจะมีอาการท้องเสียอาการต่าง ๆ มิได้เกิดขึ้นกับทุกคน เข้าใจว่าเป็นไปตามสภาพร่างกายของแต่ละคน การใช้ใบสดปรุงอาหารต่าง ๆ สามารถทำได้ตามความต้องการและความถนัด

ใบมะรุม 100 กรัม  (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน           26 แคลอรี
โปรตีน             6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน               0.1 กรัม
ใยอาหาร           4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต     3.7 กรัม
วิตามินเอ           6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี           220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน           110 ไมโครกรัม
แคลเซียม         440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส         110 มิลลิกรัม
เหล็ก               0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม       28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม       259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)

 ศึกษาสรรพคุณเพิ่มเติมได้จากเว็บเกี่ยวกับมะรุม และ http://thaiherbclinic.com/node/141

แกงส้มไข่เจียวใบมะรุม ถ้วยนี้เน้นการใช้ใบมะรุมเป็นส่วนประกอบ ปกติมักจะใช้ฝักมะรุมมาทำแกงส้ม แต่บางครั้งฝักมะรุมก็หายาก เพราะมีในบางช่วงเท่านั้น ก็เลยนำใบมะรุมมาเป็นส่วนประกอบ ทั้งจะใส่ใบมะรุมในน้ำแกงส้มอย่างเดียว ก็คงไม่ค่อยดีนัก เพราะทานมากอาจทำให้ถ่ายมาก ก็เพิ่มรสชาติและเนื้อโดยการทำเป็นไข่เจียวมะรุมก่อน เวลาเจียวไม่ต้องใส่น้ำมันเยอะ  แล้วนำไข่เจียวมาหั่นเป็นชิ้น ทำคล้ายๆ กับแกงส้มไข่เจียวชะอม อะไรประมาณนั้น อาจจะใส่ผักอื่นร่วมด้วยก็ได้


วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ออกกำลังกายแบบ อะควาแอโรบิก

วันนี้ดูรายการผู้หญิงถึงผู้หญิง ในรายการเค้าได้แนะนำวิธีการออกกำลังกายแบบหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ไขข้อไม่ค่อยดี หรือคนท้อง จริงๆแล้วคนทั่วไปก็ได้นะ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นการออกกำลังกายในน้ำ ซึ่งทำให้ร่างกายแข็งแรง ดีต่อสุขภาพและสนุกด้วย



อะควาแอโรบิก เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคหรือการบริหารร่างกายในน้ำ ซึ่งให้ความสนุกสนาน ผู้ออกกำลังกายจะเพลิดเพลินทั้งเสียงดนตรี จังหวะดนตรี ความเย็นสบายของสายน้ำ และท่าทางการเคลื่อนไหวในน้ำ สามารถเล่นด้วยกันเป็นหมู่คณะ และทำกิจกรรมได้เป็น เวลานานนาน ไม่รู้สึกเบื่อหรือเครียดในการออกกำลังกาย จึงทำให้ร่างกายผ่อนคลาย และทำได้อยู่เรื่อยๆ และสามารถเผาผลาญ พลังงานได้ประมาณ 500 - 700 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง

ท่าที่ใช้ในการแอโรบิกในน้ำ มีหลากหลาย ซึ่งคล้ายกับแอโรบิกบนบกเพียงแต่การเคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรีอาจจะทำได้ช้ากว่าเพราะมีแรงต้านทานของกระแสน้ำเริ่มต้นด้วยการนั่งริมขอบสระ ยกขา งอขึ้นทีละข้างสลับซ้ายขวาเพื่อวอร์มร่างกายก่อนลงน้ำเต้นตามครูฝึกในแต่ละท่า เช่น ท่าที่ต้องสไลด์ขาขวาซ้าย ขวาซ้าย กระโดดกางแขนพร้อมแยกขาสลับไปมา หรือจับคู่กระโดดจับมือในน้ำ แล้วออกแรงผลักสลับกันจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นจับคู่เกาะหลังคนข้างหน้าพร้อมกับตีขาในน้ำ

ตามด้วยท่าที่ต้องใช้โฟมเป็นอุปกรณ์ โดยถือเอาไว้ในมือแล้วยื่นแขนออกไปให้สุดพร้อมกดโฟมให้จมน้ำให้มากที่สุด เพื่อออกกำลังข้อมือเมื่อรู้สึกเหนื่อยพอแล้ว ก็ขึ้นนั่งที่ขอบสระพร้อมยกขาสลับซ้าย-ขวาเหมือนเดิมและถ้ารู้สึกปวดเมื่อยก็สามารถคลายกล้ามเนื้อด้วยการจับคู่ยืนบนขอบสระสลับการบริหารแขนขาช้าๆ ก็จะลดการเมื่อยล้า และป้องกันการบาดเจ็บได้ดี

อะความแอโรบิกเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถออกกำลังกายบนบกได้ถนัด เช่น มีปัญหาที่หัวเข่า ข้อเท้า กระดูกสันหลัง หรือผู้ที่มีน้ำหนักมาก รวมทั้งผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ระยะ 4 - 7 เดือนเพราะน้ำจะช่วยพยุงร่างกาย ลดการกระแทกขณะเดียวกันการออกกำลังกายใต้แรงต้านทานของน้ำจำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนกระชับและมีผลต่อระบบความฟิตของกล้ามเนื้อหัวใจ

สำหรับคนรักสุขภาพท่านใดสนใจก็ลองปฏิบัติดูนะคะ น่าสนุกดีค่ะ


วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บะหมี่ซั่วน้ำ กับ เห็ด 3 อย่าง

เมนูสุขภาพวันนี้ขอเสนอ หมี่ซั่ว กับ เห็ด 3 อย่าง...บะหมี่ซั่วใครๆก็คงได้เคยทานกันอยู่ และคิดว่าคงชอบด้วย เส้นหมี่ซั่วนุ่ม ไม่เหนียว มีรสชาติที่อร่อยในตัวเส้นอยู่แล้ว เคยไปทานบะหมี่ไก่ บะหมี่เป็ด เส้นหมี่ซั่ว รู้สึกว่าเค้าทำอร่อยจริงๆ ไม่รู้เส้นอร่อย หรือน้ำซุปอร่อย ชอบมาก ถ้วนหนึ่งก็ประมาณ 40  อัพ แต่ทานยังไม่ทันอิ่มท้องเลย แต่จะทาน 2 ถ้วยก็คงไม่ไหว (ทาน 2 ถ้วยก็...คิดๆๆ ) วันนี้เลยไปซื้อวัสดุมาทำเองซะเลย จะทานให้เยอะเท่าไหร่ก็ได้ และที่สำคัญอยากจะทานกะอะไรก็ใส่ๆๆๆ วัสดุสำคัญของบะหมี่ซั่วน้ำทำเอง ได้แก่

หมี่ซั่ว  เห็ดหอม  เห็ดเข็มทอง  เห็ดนางฟ้า อันนี้จะได้ประโยชน์จากน้ำซุปของเห็ด 3 อย่าง เคยได้อ่านมาว่าเห็ดนำมาปรุงพร้อมกัน 3 ชนิด จะได้ประโยชน์ต่อร่างกายมาก

ประโยชน์ของเห็ด 3 อย่างคือ
- ช่วยล้างพิษที่สะสมในตับ ทั้งจากอาหารและสารเคมี เช่น พิษจากสุรา สารตกค้างในเนื้อสัตว์ สารเคมีจากเครื่องสำอาง (ลิปสติกสีสด ยาย้อมผม)
- ช่วยล้างพิษพวกอนุมูลอิสระ ซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง อัลฟาท็อกซิล ไวรัสตับอักเสบ สเก็ดเงิน
- ช่วยล้างไขมันในตับ
- ตับแข็งแรงขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้อารมณ์ดี การสร้างเม็ดเลือดแดงดี 



จะถ้าใส่แค่นี้ก็จะไม่มีสีสัน ต้องเพิ่ม ข้าวโพดอ่อน ใบตำลึง ยอดคะน้า ต้นหอม คื่นช่าย จะได้มีสีสันและมีประโยชน์ด้วยนะ ไม่ต้องปรุงรสมากเพราะหมี่ซั่วมีรสชาติอร่อยอยู่แล้ว ปรุงเสร็จก็มีหน้าตาแบบเนี่ย เวลาทานก็ใส่พริกไทยหน่อย จะยิ่งอร่อย



หมดเกลี้ยง..ไม่ได้เททิ้งหรอกนะ

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หัวเราะเพื่อสุขภาพ

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “จากผลการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการหัวเราะขำขันจากความรู้สึกในใจลึกๆ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่มีประโยชน์ ทั้งยังช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดหัวใจ ลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียด และความวิตกกังวลได้อีกด้วย แถมยังทำให้นอนหลับสบาย และนอนได้เต็มอิ่ม เพราะการหัวเราะทำให้กล้ามเนื้อร่างกายทำงานเต็มที่ เพียงหัวเราะอย่างต่อเนื่อง 15-20 นาที ก็เทียบได้กับการออกกำลังกายหัวใจได้ประมาณ 3-5 นาทีแล้วค่ะ”นอกจากนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ยังเคยทำการวิจัยโดยให้อาสาสมัครชมวีดิโอขำขันซึ่งทำให้พวกเขาได้หัวเราะกันเต็มที่ โดยในระหว่างนั้นก็วัดอัตราการไหลเวียนเลือดของพวกเขาไปด้วย ผลการวิจัยพบว่า อัตราการไหลเวียนเลือดของอาสาสมัครดีขึ้นถึง 22% ซึ่งการไหลเวียนเลือดที่ดีขึ้นนี้ หมายถึงการช่วยรักษาสุขภาวะที่ดีให้กับหลอดเลือด และส่งผลช่วยยับยั้งการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย


เพราะเสียงหัวเราะเป็นกุญแจสู่การมีสุขภาพดีที่เราไม่ควรทำให้ขาดหายไปจากชีวิตประจำวัน ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า ผู้ใหญ่ควรหัวเราะให้ได้ 17 ครั้งต่อวัน ส่วนเด็กๆ ถ้าได้หัวเราะ 400 ครั้งต่อวันจะทำให้มีสุขภาพดี ฟังอย่างนี้แล้ว อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นเรื่องยาก เพียงคุณจัดสรรเวลาให้กับกิจกรรมประจำวันที่จะทำให้คุณผ่อนคลายมากขึ้น เสียงหัวเราะก็จะตามมาเอง เช่นในวันหยุด กำหนดช่วงเวลาทุกค่ำวันเสาร์เป็น “มูวี่ไนท์” ของครอบครัวแล้วเลือกหนังตลกหรือการ์ตูนขำๆ ที่เด็กๆ ชอบสักเรื่องหนึ่งมาชมร่วมกันทั้งครอบครัว แค่นี้ก็ได้ขำไปด้วยกันสองชั่วโมงเต็มอย่างไม่รู้ตัวแล้ว แถมยังได้กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกต่างหาก หรือบางครอบครัวที่งดการออกไปเดินเที่ยวในห้างเพราะต้องการรัดเข็มขัดในช่วงนี้ ก็อาจเปลี่ยนมาใช้วิธีช่วยกันทำอาหารทานในบ้านช่วงวันหยุด แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน นอกจากเสียงหัวเราะจะตามมา ความเครียดก็จะมลายหายไปได้ด้วย

สวนสัตว์สงขลา



กินเชอรี่ ป้องกันเบาหวาน

ซื้อเชอรี่มาทานเป็นผลไม้ที่อร่อยมากๆ รสชาติดีเปรี้ยวๆหวานๆ ทานมากไม่ได้เพราะว่ามันแพงไปหน่อย แต่ก็ดีเพราะไม่ว่าจะทานอะไรก็แล้วแต่ควรทานแต่พอประมาณ จริงมั้ย!


นักวิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐมิชิแกน รายงานว่าพบสารเคมีที่มีอยู่ในผลลูกเชอร์รี่ มีสรรพคุณสามารถจะต่อสู้รับมือกับโรคเบาหวานได้อย่างเหมาะเหม็ง
คณะนักวิจัยได้รายงานอยู่ในวารสาร "เคมีด้านเกษตรกรรมและโภชนาการ" ของสมาคมเคมีแห่งอเมริกันว่า สารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในลูกเชอร์รี่ มีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือด ในผู้ป่วยโรคเบาหวานลงได้

โดยได้ พบจากการทดลองในห้องปฏิบัติการกับเซลล์ตับอ่อนของสัตว์ สารเคมีที่มีชื่อว่า "แอนโทรไซยานิน" อันเป็นรงควัตถุ สีม่วงแดงมีอยู่ในถุงของเหลวของพืช ทำให้ดอกไม้และส่วนอื่นๆของพืช เช่น เปลือก ผลมีสีม่วง และแดงตามไปด้วยนั้น ได้ช่วยให้มันสามารถผลิตอินซูลินได้เพิ่มสูงขึ้นได้อีกถึง 50%

นักวิจัยกล่าวว่า สารประกอบทางเคมีเหล่านั้น ยังแสดงให้เห็นว่า นอกจากจะช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ทั้ง 2 ชนิดแล้ว ยังจะช่วยควบคุมระดับกลูโคสในเลือดของผู้ป่วยได้อีกด้วย

สารแอนโทรไซยานิน ยังมีสรรพคุณเป็นตัวล้างพิษที่มีอำนาจ จึงมีประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งได้ด้วย.
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ผักผลไม้แทบทุกอย่างจะมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ต้องเลือกให้เหมาะกับสุขภาพของตัวเองด้วย

รักสุขภาพ กินเกาลัดให้อร่อย ได้ประโยชน์


เมื่อวานไปเดินตลาดหาซื้อผลไม้มาทานในวันหยุดยาวได้มาหลายอย่างเลย และก็ซื้อเกาลัดของโปรดของใครหลายๆคนมาทานด้วย ที่ตลาดมีเกาลัดอยู่ 2 พันธุ์ เป็นเกาลัดจีน และเกาลัดญี่ปุ่นลูกจะเล็กกว่าเกาลัดจีนนะ แต่ก่อนจะเห็นมีแต่เกาลัดจีนก็ทานอร่อยดี แต่พอมีเกาลัดญี่ปุ่นพอได้ทานรู้สึกว่าน่าจะอร่อยกว่านะ รู้สึกเนื้อจะนิ่มกว่า หวานกว่า แล้วแต่คนชอบรสชาติแบบไหน เค้ากว่ากันว่าเกาลัดมีประโยชน์ มีประโยชน์ยังไงบ้างล่ะ เผื่่อว่าคนรักสุขภาพท่านใดสนใจ

เกาลัด ชาวจีนถือว่าเกาลัดเป็น “ราชาแห่งเมล็ดพันธุ์พืช” จึงมีการปลูกอย่างแพร่หลายในจีนและผลิตสำหรับส่งออกเมื่อนำเกาลัดไปคั่วในทรายร้อนๆ จะมีรสหวานอร่อย

สรรพคุณ
• เกาลัดมีฤทธิ์อุ่น รสหวาน มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย บำรุงไต กล้ามเนื้อ ม้าม และกระเพาะอาหาร บำรุงลม แก้ร่างกายอ่อนแอ
• แก้ไอ ละลายเสมหะ แก้อาเจียน คลื่นไส้ ท้องเดิน
• ห้ามเลือด ช่วยการไหล เวียนเลือด
• แก้อาการถ่ายเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล
• แก้วัณโรคที่ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต และอาเจียนเป็นเลือด
• ผลดิบของเกาลัด มีสรรพคุณในการรักษากล่องเสียง หรือโรคกล่องเสียงอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้เสียงมากๆ
• ส่วนผลแห้งของเกาลัด จะช่วยเพิ่มพลัง ฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้รู้สึกมีแรงมากขึ้น และยังช่วยลดการปวดปัสสาวะบ่อยด้วย ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับวัยชรา
• ส่วนในเรื่องระบบขับถ่าย เกาลัดยังช่วยรักษาโรคท้องร่วง และรักษาอาการริดสีดวงทวารได้ดีอีกด้วย

ข้อควรระวัง
• ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืดบ่อย ๆ อาหารไม่ย่อย ไม่ควรรับประทาน
• ผู้ที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ ร้อนใน ตาบวม ไม่ควรรับประทาน